เกร็ดชีวิตคนดัง

เล็ก ลูก้า กรรมการตัดสินโต๊ะสุดยอดสีผึ้งแดนสยาม สีผึ้งหลวงปู่โป๊ะพลิกชีวิตได้จริงภายใน 7 วัน หลงใหลมนต์เสน่ห์ของสีผึ้งจนศึกษาประวัติการสร้างสีผึ้งจนเข้าถึงจิตวิญญาณ

%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%87%e0%b8%81-%e0%b8%a5%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b9%89%e0%b8%b2-%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99

วิชัย ธุระพันธุ์ หรือ เล็ก ลูก้า กรรมการตัดสินโต๊ะสุดยอดสีผึ้งแดนสยาม สีผึ้งหลวงปู่โป๊ะพลิกชีวิตได้จริงภายใน 7 วัน หลงใหลมนต์เสน่ห์ของสีผึ้งศึกษาประวัติการสร้างสีผึ้งจนเข้าถึงจิตวิญญาณ

          คุณเล็ก ลูก้า เล่าย้อนถึงที่มาของเรื่องราวอัศจรรย์ที่ทำให้ตนเองสนใจสีผึ้งว่า “จริงๆ แล้วผมทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายคาร์โก้ของบริษัทร่วมทุนสายการบินเคแอลเอ็มกับบริษัทเอกชนสัญชาติเนเธอแลนด์ ทำธุรกิจเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าทางเครื่องบินให้กับฝรั่งชาวดัช ทำมาหลายปี อยู่ในวงการส่งออก คาร์โก้มานานเกือบๆ 25 ปี แล้วรู้สึกอิ่มตัวก็เลยออกมาทำธุรกิจส่วนตัว คือธุรกิจนำเข้ารถยนต์เพื่อจดประกอบครับ”

         มีช่วงหนึ่งที่ธุรกิจของผมบูมมาก กำลังไปได้สวยมียอดขายในบริษัทคือหลักร้อยกว่าล้านบาท ถือว่าเป็นเบอร์ต้นๆ ของตลาดที่คนรู้จักกันเป็นอย่างดี ต้องยอมรับว่าช่วงนั้นธุรกิจด้านรถยนต์จดประกอบรุ่งเรืองสุดๆ จนไปชนกับผู้ประกอบการรถยนต์ภายในประเทศ ทีนี้ทางรัฐก็ออกกฎหมายใหม่มาทำให้รถยนต์จดประกอบกลายเป็นรถผิดกฎหมาย ทำให้เราไม่สามารถนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศมาจดประกอบได้ คราวนี้ชีวิตผมเข้าขั้นวิกฤติเลยทีเดียว เพราะว่าตอนนั้นบริษัทเราเป็นที่ต้องการมาก เราก็นำเข้ามามากเพราะตอนนั้นเรามีออเดอร์มาก เมื่อกลายเป็นว่าของที่เราสั่งมาผิดกฎหมาย เราก็กลายเป็นคนทำธุรกิจผิดกฎหมายทันที ทำให้เราประสบกับภาวะขาดทุน ทั้งๆ ที่เดือนที่แล้วเรายังทำกำไรได้มากมาย พอมาเดือนต่อมาเราขาดทุนย่อยยับเลย ไม่ใช่แค่ขาดทุนแบบไม่มีกำไรนะ แต่มันขาดทุนไปจนถึงแบบติดลบ เพราะว่ารถยนต์ที่เราซื้อสต็อกเอาไว้เพื่อจะทำการจดประกอบเยอะพอสมควร ขายก็ไม่ได้ แล้วก็ต้องจ่ายคู่ค้าไม่ได้อีก และพอสินค้ารถยนต์จดประกอบที่สั่งล่วงหน้ามาถึงท่าเรือกลายเป็นว่าเราก็ต้องถูกดำเนินคดีไปด้วยเพราะเป็นรถที่ไม่ถูกต้อง ผิดกฎหมาย โดนภาษีย้อนหลัง จนสุดท้ายบริษัทอยู่ไม่ได้ก็ต้องปิดตัวลงพร้อมกับหนี้สินพอสมควรทีเดียว เล่าให้เห็นภาพเลยว่าเหมือนคนตกตึกจากชั้น 10 แล้วร่วงวูบชั้น 1 ตายคาที่เลย

          ตอนนั้นผมก็ต้องขายอสังหาริมทรัพย์ทุกอย่าง บ้าน รถยนต์ ขายความสะดวกสบายที่เรามีอยู่ออกทั้งหมด รวมไปถึงเอาพระเครื่องที่เคยเก็บสะสมไว้สมัยที่มีเงินเอามาปล่อยให้บูชา ปล่อยขายเพื่อจะให้ตัวเองอยู่รอด และขายเพื่อต่อลมหายใจให้ยังมีความหวังเพื่อมองหาลู่ทางใหม่ๆ ได้ ทีนี้ช่วงระหว่างรอจังหวะและยังเคว้งคว้างอยู่ เราก็ได้เริ่มซื้อพระ-ขายพระ แบบซื้อมาขายไป ตอนนั้นยอมรับว่าขาดสิ่งยึดเหนี่ยวหรือที่พึ่งทางใจ เพราะเราเคยเชื่อว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันถูกต้อง จู่ๆก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สุดท้ายก็หันมาหาที่พึ่งทางใจนั่นก็คือพระเครื่อง เครื่องรางต่างๆ

          ตอนที่ผมเอาพระเครื่องมาปล่อยขายพระที่มีก็ค่อยๆ หมดไป ก็เริ่มมองหาลู่ทางว่าจะทำยังไงดี และเหมือนเป็นจังหวะของชีวิตของผม ที่ได้ไปเจอสีผึ้งอยู่ตลับหนึ่ง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นสีผึ้งด้วยซ้ำ แต่เห็นว่าเป็นตลับเงินเก่าๆ สวยดี ก็เลยถามคนขายว่าคืออะไร เขาก็บอกว่ามันคือสีผึ้ง เป็นสีผึ้งของจังหวัดศรีษะเกษ อาจารย์คนที่ทำสีผึ้งนี้เค้าเก่งมากเป็นสายเหนียวยิงไม่เข้าประมาณนี้ นั่นคือข้อมูลแรกที่เราได้รับ แต่ใจเราคือไม่ได้ต้องการสายเหนียวเราต้องการที่พึ่งทางใจ แล้วคนขายเขาก็บอกว่าท่านไม่ได้เก่งแค่สายเหนียวนะ หลวงพ่อองค์นี้ ใครเป็นลูกศิษย์ท่าน ได้ใช้สีผึ้งท่านส่วนใหญ่จะค้าขายร่ำรวย ตัวผม ณ จุดนั้นไม่รู้จะพึ่งอะไรดี แล้วเราจะทำมาหากินอะไรต่อ เพราะเราเดินสายนี้มาตลอดชีวิตจู่ๆ สายที่เราเดินมันไปต่อไม่ได้แล้ว สุดท้ายในหัวก็แว้บขึ้นมาว่าลองบูชาดูเผื่อชีวิตมันจะดีขึ้น ซึ่งตอนนั้นจังหวะชีวิตผมก็ขึ้นๆ ลงๆ และมีหนี้ภาษีที่เราโดนปรับ 200% เป็นเงินประมาณ 20 ล้านบาท ส่วนสีผึ้งเขาขายผมที่ 2,000 บาท บอกตามตรงว่าในวันนั้นเงินสดที่ติดตัวผมไม่พอที่จะซื้อสีผึ้งตลับนี้ด้วยซ้ำ แต่ก็พยายามขวนขวายเพื่อให้ได้เงินมาเอาตลับสีผึ้งนี้ให้ได้ ปรากฏว่าไม่นานผมก็ได้เงินมา 2,020 บาท ก็รีบไปโอนเงินให้เขา 2 พันบาทเลย เพื่อบูชาตลับสีผึ้งนี้มา

            ตอนผมได้ตลับสีผึ้งนี้มาคนขายเขาบอกผมว่า “พี่อย่าเปิดตลับเด็ดขาดนะ! ถ้าพี่เปิดชีวิตพี่ย่อยยับเลย” เขาเน้นย้ำบอกเลยว่า “ห้ามเปิดตลับเด็ดขาด” “บูชาดีๆ เดี๋ยวชีวิตพี่จะเปลี่ยน” แล้วด้วยความที่เราขาดที่พึ่ง จริงๆ คนขายเขาอาจจะโกหกเราก็ได้ใครจะรู้ แต่จังหวะนั้นเราไม่มีทางเลือกอื่น ในเมื่อชีวิตไม่มีอะไรจะเสียก็ลองดูหน่อยเป็นยังไง

          วันนั้นผมก็อธิษฐานเลย “ถ้าหลวงปู่เก่งอย่างเขาว่า อย่างที่เขาบอกมา ตอนนี้ผมไม่รู้จะทำงานอะไรเลย งานไม่มี เงินไม่มี ผมจะอยู่ยังไงผมยังไม่รู้เลย ผมอาศัยขายพระของผมไปเรื่อยๆ จนใกล้จะหมดแล้ว ผมยังหางานทำไม่ได้เลย ถ้าหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์ช่วยผมหน่อย ผมอยากได้งาน เพื่อจะหารายได้เลี้ยงตัวเองและทยอยจ่ายหนี้ให้หมด” ทั้งที่ผมก็ไม่รู้จักหลวงปู่โป๊ะด้วยซ้ำ ท่านหน้าตาเป็นยังไงผมก็ไม่รู้หรอกก็อธิษฐานดู

          ปรากฏว่าผมมีงานเข้ามาจริงๆ เป็นงานที่ผมเคยทำแต่ย่อยลงมา ทำให้เราขยับสถานะได้ สามารถนำเงินส่วนหนึ่งไปใช้หนี้ อีกส่วนก็นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ พอมี 1 ราย 2 ราย 3 ราย 4 ก็ตามมา ทั้งๆ ที่ลูกค้ากลุ่มนี้ไปจากเรานานแล้วตั้งแต่จังหวะที่เราโดนมรสุมชีวิต แต่แปลกมากที่พอเราได้สีผึ้งหลวงปู่โป๊ะมาแล้ว ลูกค้าก็ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ จริงๆ แล้วผมก็ไม่อยากจะบอกว่าเป็นเพราะสีผึ้งหรอกนะ อาจจะเป็นที่จังหวะชีวิตเราด้วยหรือเปล่า แต่บังเอิญว่าจังหวะมันได้มาในจังหวะที่เหมาะพอดี กับที่เราถือสีผึ้งตลับนี้อยู่ ใจก็ 50/50 และตอนนี้เราก็ได้กำไรเกิน 2,000 ทุนที่เราบูชาสีผึ้งมาแล้ว

          ทีนี้มีคนมาขอบูชาสีผึ้งตลับนี้จากผม ด้วยความที่เคยขายผมก็ปล่อยให้เขาไปในราคา 2,200 บาท ซึ่งพอขายไปแล้วผมก็นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ก่นด่าตัวเองว่าขายไปได้ยังไง ทำไมเราเป็นคนแบบนี้วะ เราได้สีผึ้งมาแล้วดีเราจะขายทำไม องค์นั้นเป็นองค์ครู คิดวนอยู่แบบนี้ จนผ่านมาได้ 7 วัน ทนไม่ได้ก็ไปตามซื้อคืนมา 2,300 บาท

          พอได้กลับมาก็ผมอาราธนาบอกหลวงปู่ว่า ต่อจากนี้ผมจะไม่ขายตลับที่ผมมีประสยบการณ์ หรือตลับครูของผมเด็ดขาด แต่ขอให้หลวงปู่ช่วยผมที ผมขอหนักๆ เลยนะ “ผมอยากได้งานอะไรก็ได้ ที่กำไร 2 แสนบาท แล้วได้เงินภายใน 7 วัน” จังหวะนั้นผมวัดใจเลยว่าถ้าหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์จริงอย่างที่ว่า แค่นี้ต้องได้ เงิน 2 แสนบาทนี่สำหรับผมนั้น เอาจริงๆ กำไรหลักพันยังแย่เลย แต่เราขอให้เว่อๆ ไว้เพราะว่าถ้าหลวงปู่แน่จริงก็ต้องได้ ปรากฏว่าวันที่ 2 หลังจากที่บนไปมีลูกค้าเก่าๆ โทรมาบอกว่า จะแนะนำลูกค้าให้เจ้าหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่านะ เป็นงานเจรจากับหน่วยงานรัฐ พอวันที่ 3 เขาก็โทรนัดผมเข้าไปคุย ตอนคุยกันผมมั่นใจเต็มที่ว่างานนี้หลวงปู่จะต้องให้ผม ผมโทรปรึกษางานกับบรรดาเพื่อนๆ มีแต่คนบอกว่างานนี้งานยาก แต่ผมมั่นใจว่าทำได้ยังไงหลวงปู่จะช่วยให้สำเร็จ โดยผมเสนอให้เขาวางเงิน 1 ล้านบาทเพื่อที่ผมจะสามารถรับงานนี้ได้ ไม่น่าเชื่อปรากฏว่าวันนั้นเขาเอาเงินสดมาให้ผม 1 ล้านบาทจริงๆ แล้วผมก็ไปดำเนินการเจรจาจนสำเร็จจริงๆซะด้วย ครั้งนั้นผมได้กำไร4 แสน 5 เท่ากับผมได้มากกว่าที่ขอหลวงปู่ แล้วก็ได้ภายใน 7 วันด้วย

          ทีนี้พอมันสำเร็จครั้งหนึ่งแล้วมันไม่แค่นั้นนะ บริษัทที่เคยจ้างงานเราเขาก็มาจ้างเราต่อ ให้ดูแลอีก 3-4 งาน แล้วจ้างเราเป็นที่ปรึกษาเขาอีก 3 ปีนี่คือผมก็ได้เกินจากที่เราขอไปเยอะแล้วนะ แต่ก็ไม่หยุดแค่นั้นบริษัทนี้ก็ยังได้แนะนำเราให้กับบริษัทอื่นต่ออีก ผมคิดเลยว่าหลวงปู่พาเรามาไกลมาก ทั้งที่เป็นงานที่เราไม่เคยทำด้วย กลายเป็นตอนนี้เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ไปเสียแล้ว และผมก็ยึดอาชีพนักเจรจานี้เป็นอาชีพหลักในปัจจุบันอีกด้วย

          เพราะสีผึ้งหลวงปู่โป๊ะ พลิกชะตาชีวิต คุณเล็ก ลูก้า จึงเริ่มสนใจในสีผึ้ง และเริ่มศึกษาประวัติหลวงปู่โป๊ะ “จากเหตุการณ์ที่ผมเจอผมจึงศรัทธาสีผึ้งหลวงปู่โป๊ะ ในเมื่อดีขนาดนี้ ทำไมเราไม่เผยแพร่สิ่งดีๆ ให้คนรับรู้ ได้นำไปบูชาบ้าง แล้วก็คิดว่าถ้าเราไม่รู้จริงพูดจะมีใครเชื่อถ้าอยากจะเผยแพร่หลวงปู่จริงๆ แล้วก็ต้องศึกษาก่อน ตั้งแต่นั้นมาผมก็เริ่มศึกษาประวัติหลวงปู่โป๊ะทุกอย่าง ตั้งแต่ตอนท่านบวช ญาติท่านเป็นใคร ท่านเป็นศิษย์ใคร ลูกศิษย์ท่านเป็นใคร เข้าหาคนที่รู้เรื่องจนปลายปี 59 ผมได้ทำสารคดีตามรอยสีผึ้งหลวงปู่โป๊ะ ออกมา 3 ตอน แบ่งเป็น สีผึ้งหลวงปู่โป๊ะ พิธีพระราชเพลิงศพของท่าน และเรื่องการดูสีผึ้งของหลวงปู่โป๊ะ พอทำเสร็จทั้ง 3 ตอนทำให้เรามีความรู้มากขึ้น แล้วตอนนั้นผมก็ตั้งโต๊ะรับบูชาสีผึ้งหลวงปู่โป๊ะด้วย นับตั้งแต่วันแรกที่ผมบูชามา 2 พันบาท ผ่าน ประมาณปี 2 ปี ผมสามารถหาเงินเป็นล้านเพื่อกว้านซื้อสีผึ้งหลวงปู่โป๊ะทั้งหมดทั้งตลาดได้ ใครมาขายผมก็ซื้อหมด เรียกงายๆ ว่าซื้อตั้งแต่ตลับหลักร้อยจนถึงตลับหลักหมื่น หลักแสนเลยทีเดียว จนสีผึ้งหลวงปู่โป๊ะไปไกลมาก เพราะความต้องการในตลาดสูง และความต้องการของผมเองก็สูงใครมาขายผมซื้อ” เรียกได้ว่า คุณเล็ก ลูกก้า เป็นเจ้ากรมสีผึ้งหลวงปู่โป๊ะ คนหนึ่ง เพราะถ้านับสีผึ้งหลวงปู่โป๊ะทั่วประเทศ ประมาณ 70% คืออยู่ที่คุณเล็ก ลูก้าแน่นอน

          หลังจากที่มีความศรัทธาและศึกษาจนรู้ชัดแล้ว คุณเล็ก ลูก้า ยังศึกษาต่อไปยังเรื่องราวความเป็นมาของสีผึ้งในยุคต่างๆ จวบจนมีความหลงใหล และอยากจะเผยแพร่เรื่องราวของสีผึ้งให้คนรุ่นหลังได้ร่วมกันอนุรักษ์ จึงเริ่มต้นตั้งร้านสุดยอดสีผึ้งแดนสยามขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อการพาณิชย์ แต่เพื่อการเผยแพร่ “ผมคิดว่าถ้าเกิดเราอยากให้คนหันมาสนใจสีผึ้ง และน่าเชื่อถือ มันจะต้องผ่านสมาคมเท่านั้น ซึ่งสมาคมพระเครื่องฯ นี้เป็นองค์กรหลักของเมืองไทยเรื่องการเผยแพร่วัตถุมงคล และยังเป็นการช่วยส่งเสริมวัดทางอ้อม เพราะคนชอบวัตถุมงคลในแต่ละสายสุดท้ายแล้วจะกลับไปพัฒนาวัดพัฒนาชุมชนเอง ผมก็คิดว่าถ้าผมผลักดันให้มีการจัดการประกวดสีผึ้ง จะเป็นการช่วยกันอนุรักษ์ และหวังว่าจะมีคนสนใจจนสามารถผลักดันสีผึ้งให้เป็นเครื่องรางหลักของเมืองไทยได้ในอนาคต จากนั้นมาจึงได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ให้มีโต๊ะสุดยอดสีผึ้งแดนสยามในงานประกวดพระฯ”

          เมื่อถามว่าในการประกวดสีผึ้งตัดสินกันจากอะไร? คุณเล็ก ลูก้า เล่าให้ฟังว่า “สีผึ้งอันดับแรกก็เหมือนกับการตัดสินพระเครื่องนั่นล่ะครับ อันดับแรกต้องดูความแท้ก่อน ถ้าดูแท้แล้วเราก็จะมาดูความสวยงามต่อ ซึ่งความสวยนี้มีระบุในคู่มือการตัดสินของสมาคมฯ อยู่แล้ว ว่าต้องดูความเดิมของมัน ดูการอนุรักษ์ เพราะงานประกวดพระคืองานอนุรักษ์เพราะฉะนั้นเราต้องดูสีผึ้งที่อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุด เดิมที่ว่านี้คือธรรมชาติของสีผึ้ง เวลาสีผึ้งอยู่ในตลับนอนนิ่งๆ มา 50 ปีผิวหน้าจะเหมือนเป็นหลุมเป็นบ่อ แต่นั่นล่ะคือความสวยงามของสีผึ้ง สิ่งที่บรรจุด้านในจะเป็นพระเอย ตระกรุดเอย งาช้างแกะ หรืออะไรก็แล้วแต่ เวลาแห้งไปตามสภาพ 40-50 ปีความสวยงามจะเกิด สีของสีผึ้งก็จะเปลี่ยน จากสีเหลืองก็จะกลายเป็นสีเขียวบ้าง สีน้ำตาลบ้าง ดำบ้าง เป็นความงามที่ถ้าใครได้ส่องจะวางกล้องไม่ลงเพราะมันเสมือนมีชีวิต”

          “แล้วตลับที่ใส่นั้นก็บ่งบอกได้ว่ามีมากี่ปีแล้ว ตลับยาหม่อง ตลับพลาสติก ตลับอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามากับมันตั้งแต่ดั้งเดิม แม้แต่ใบตองเก่าก็มี ผ้าห่อศพเก่า ถุงพลาสติกเก่าๆ ที่ติดมากับสีผึ้งก็มี พวกนี้บ่งบอกยุคของตัวเองอยู่ มันมีเสน่ห์มาก แล้วไม่ได้หมายความว่าต้องตลับเงินหรือตลับทองเท่านั้นถึงมีราคา เพราะต่อให้ใส่ผ้าห่อศพมาก็มีราคา บางทีผมก็ต้องตามซื้อนะ 4-5 หมื่นบาทเพราะมันเก่ามากๆ”

          ก่อนจากกันคุณเล็ก ลูก้า อยากจะฝากถึงคนที่กำลังเริ่มจะศึกษาสีผึ้งหลวงปู่โป๊ะว่า “เราต้องเคารพกราบไหว้บูชา และมีความศรัทธาอย่างไม่มีข้อสงสัยก่อน ถ้ารับสีผึ้งเข้ามาต้องตั้งพานครูที่รับท่านเข้ามา แล้วให้บูชาสม่ำเสมอ สีผึ้งนี้มีจิตวิญญาณ มีครูบาจารย์ทุกตลับ ต้องทำเหมือนครูบาอาจารย์มาอยู่บ้าน เราให้เกียติครูบาอาจารย์ยังไงก็ต้องให้เกียรติสีผึ้งด้วย สื่อสารกับท่านบ่อยๆ ก่อนนอนก็กราบไหว้สักการบูชา หมั่นให้ทานสม่ำเสมอ ยิ่งการทำบุญจรสำคัญมากกับการบูชา การทำบุญจรนี่เท่ากับเรารู้จักแบ่งปันเรารู้จากละความหวง ละกิเลส ละความโลภ เมื่อไหร่ที่เราแบ่งปันสิ่งที่เราไม่คาดคิดจะย้อนกลับมา และผมขอแนะนำว่าใครที่จะเข้ามาเล่นสีผึ้งหรือเครื่องรางอะไรก็แล้วแต่ ควรจะศึกษาของแท้เท่านั้นไม่ควรจะวัดดวงเอาของไม้แท้มาบูชา พอไม่เกิดผลก็ไม่เกิดศรัทธา แนะนำอย่างคนที่วงการพระเครื่องแนะนำว่าควรจะเริ่มต้นจากของแท้สักชิ้น ไม่ว่าจะแพงแค่ไหนถ้าเราตั้งใจศึกษา คุณต้องทำให้ได้นั่นเป็นเกณฑ์อันดับแรก ถ้าคุณคิดว่าแพงไม่ซื้อซื้อ ขอวัดดวงดีกว่าถูกหน่อยขายได้ ถ้าคุณคิดแบบนั้นคุณไม่มีทางไปถึงจุดหมายของคุณแน่ เพราะคุณไม่ได้ผ่านความมานะ อุตสาหะและพยายามที่ดีพอ แม้ว่าของแท้จะแพงขนาดไหนหากคุณพยายามและมานะก่อนจนซื้อมันได้ชิ้นแรก ชิ้น 2-3-4-5 จะมีมา และพุทธคุณที่คุณอยากจะได้จะมีมาสมทบ ทิ้งท้ายว่า ถ้าอาระดินมียักษ์ในตะเกียงวิเศษ ผมขอบอกว่าที่เมืองไทยมีสีผึ้งหลวงปู่โป๊ะที่มีฤทธาไม่แพ้กัน สำหรับผมหลวงปู่โป๊ะก็เหมือนยักษ์ใหญ่ในตะเกียงของอาละดิน ผมเชื่อว่าเป็นแบบนั้น และมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป”

          เป็นการสัมภาษณ์ที่ครบ ชัดเจน มีที่มาที่ไป และยังเปิดโลกทัศน์ของเครื่องรางให้กับผู้สัมภาษณ์มากๆ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับหลายๆ คนที่ยังสงสัย และอยากจะทราบว่าการตัดสินพระโต๊ะสีผึ้งจะดูจากอะไร และเขาชี้วัดความเก๊แท้กันยังไง ถือว่าวันนี้ได้รู้ทั้งเกร็ดชีวิตคนดัง วิชัย ธุระพันธุ์ หรือ เล็ก ลูก้า กรรมการตัดสินพระโต๊ะสุดยอดสีผึ้งแดนสยาม และยังได้รู้ถึงปาฏิหาริย์บารมีของสีผึ้งหลวงปู่โป๊ะด้วย

          สำหรับผู้ที่สนใจจะศึกษาเกี่ยวกับสีผึ้งต่างๆ ทั่วประเทศ สามารถเข้าไปดูได้ที่ ช่อง LekLUKA Channel ช่องที่คุณเล็กได้รวบรวมข้อมูลที่เป็นความรู้ของสีผึ้งไว้มากมาย และหากมีข้อสงสัยสามารถพบกับคุณเล็ก ลูกก้าได้ตามงานประกวดพระ หรือจะแวะไปขอดูตลับสีผึ้งได้ที่ ร้านสุดยอดสีผึ้งแสนสยาม โดย เล็ก ลูก้า 099-352-5916

0 Comments

Reply your comment

Your email address will not be published. Required fields are marked*

WordPress Image Lightbox