พระเครื่องอภินิหาร

หลวงปู่ทา วัดศรีสว่างนาราม ศิษย์เอกรุ่นสุดท้าย ญาท่านตู๋ ทายาทพระเวทย์คาถาสาย สำเร็จลุน

%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%a7%e0%b8%87%e0%b8%9b%e0%b8%b9%e0%b9%88%e0%b8%97%e0%b8%b2-%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%aa%e0%b8%a7%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%99%e0%b8%b2


          หลวงปู่ทา นาควัณโณ วัดศรีสว่างนาราม อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี เดิมชื่อทา เทพคุ้ม เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2475 ณ บ้านพะไล อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรคนเดียว บิดาชื่อจันทร์ เทพคุ้ม มารดาชื่อทอง เทพคุ้ม ตอนที่ท่านเป็นเด็กมารดาล้มป่วยชาวบ้านเรียกว่า “ผีเข้า” รักษาทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน แผนโบราณ ที่ใหนว่าดี ที่ใหนว่าเก่งก็ไปมาหมด แม้แต่ทางไสยศาสตร์ หมอผี หมอธรรม ก็ลองรักษามาหมด แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นมีแต่ทรงกับทรุด ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจนปัญญาจะรักษา ความหวังและที่พึ่งเดียวในตอนนั้น คือ กราบขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บของมารดาให้หายไปแต่ทุกอย่างก็ไร้ผล

          ด้วยความกตัญญูกตเวทีและไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา ท่านไม่ลดละยังเสาะแสวงหาหนทางรักษามารดาอยู่ตลอดเวลาเชื่อเสมอว่าความดีจะบันดลให้ร้ายกลายเป็นดี

          ในครั้งหนึ่งท่านมีโอกาสกราบนมัสการหลวงปู่ญาท่านตู๋ ธัมมสาโร ที่อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นผู้ทรงอภิญญาที่คนเฒ่าคนแก่เล่าขานกันว่าเดินลุยฝนไม่เปียก ย่นระยะทางได้ เดินข้ามแม่น้ำโขงได้ จึงเล่าอาการป่วยของมารดาให้ท่านฟัง ด้วยความเมตตาและเอ็นดูหลวงปู่ญาท่านตู๋จึงถามว่า หากรักษาให้หายได้จะขอให้มาเป็นบุตรและบวชได้หรือไม่ คำตอบคือ “ได้” โดยทันที หลวงปู่ญาท่านตู่จึงรักษาตามวิชาสายธรรมตามที่ได้ร่ำเรียนมาจากหลวงปู่สำเร็จลุน แห่งนครจำปาสัก จะด้วยปาฏิหาริย์หรือเหตุผลใด ๆ ก็ตาม สิ่งอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นมารดาได้หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง

          ด้วยยึดมั่นในสัจจะและศรัทธาต่อหลวงปู่ญาท่านตู๋เป็นอย่างมาก ในปี พ.ศ. 2487 อายุได้ 12 ปี จึงบรรพชาเป็นสามเณรจำพรรษาที่วัดบ้านคำต่องล่อง ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นตำบลคำเจริญ อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี อยู่กับหลวงปู่ญาท่านตู๋ศึกษาพระธรรมและคำสั่งสอนด้วยความพากเพียร

          ในปี พ.ศ. 2490 หลวงปู่ญาท่านตู๋เห็นว่าถึงแม้ท่านจะอายุยังน้อยบรรพชาได้ไม่กี่ปีแต่เป็นผู้มีสติปัญญาหลักแหลมมีวิริยะอุตสาหะ เห็นควรออกธุดงค์เพื่อบำเพ็ญศีล ภาวนา ศึกษาพระธรรมในขั้นสูงต่อไป นับตั้งแต่นั้นมาท่านจึงได้ติดตามหลวงปู่ญาท่านตู๋ธุดงค์ไปยังสถานที่ต่าง ๆ อันไกลโพ้นในประเทศลาว เช่น ภูมะโรง ภูสามชั้น ภูกลางเฮือน แก่งหลี่ผี คอนพะเพ็ง ภูไม้ล้มแบ่ง และภูเขาควาย เป็นต้น

          จะกล่าวถึงการธุดงค์ “ภูเขาควาย” ดินแดนอันลี้ลับเล่าขานกันว่าพระธุดงค์รูปใดผ่านด่านนี้แสดงว่าไม่ธรรมดาสามารถได้สภาวะธรรมอยู่ในขั้นอภิญญา แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่หายสาบสูญไปอย่างไร้วี่แววแม้แต่โครงกระดูกก็ไม่พบเจอ แต่ท่านก็ผ่านจุดนั้นมาได้

          เรื่องหนึ่งที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักเกิดขึ้นระหว่างการธุดงค์ของท่านกับหลวงปู่ญาท่านตู๋ เมื่อครั้งธุดงค์ไปวัดเวินไซ เมืองโพนทอง นครจำปาสัก ได้พบพระผู้เฒ่ารูปหนึ่งน่าเกรงขามยิ่งนักแต่ก็เต็มไปด้วยความเมตตาวาจาไพเราะแต่อยู่สนทนาธรรมด้วยไม่นานก็หายไป พอชาวบ้านทราบข่าวก็เล่าให้ฟังว่าในสมัยหลวงปู่สำเร็จลุนยังครองสังขารก็มีผู้คนเล่าขานถึงปาฏิหาริย์กันว่ามีผู้พบเห็นท่านปรากฏกายในสถานที่ต่าง ๆ ทั้งที่ท่านก็นั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่วัดเวินไซ หรือแม้แต่ท่านมรณภาพไปแล้วก็ยังมีชาวบ้านเล่าขานถึงการพบเห็นท่านอยู่เป็นประจำ ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้ชาวบ้านจึงไม่แปลกใจและเชื่อว่าพระผู้เฒ่าองค์นั้นคือหลวงปู่สำเร็จลุนนั้นเอง ด้วยเหตุนี้เมื่อมีใครถามว่าเคยเจอหลวงปู่สำเร็จลุนหรือไม่จะได้รับคำตอบว่าเคยเจอ นั้นเป็นเพราะท่านเชื่อในอภิญญาของหลวงปู่สำเร็จลุนผู้เป็นอาจารย์ของหลวงปู่ญาท่านตู๋ด้วยความศรัทธายิ่ง

         ในปี พ.ศ. 2492 หลวงปู่ญาท่านตู๋ได้พาไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ณ วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อศึกษาวิชากรรมฐาน โดยมีพระอาจารย์หนู (หลวงปู่หนู สุจิตโต) เป็นพระพี่เลี้ยง ท่านใช้เวลาศึกษาสรรพวิชา ฝึกจิต ภาวนา อยู่วัดดอยแม่ปั๋งเป็นเวลา 4 เดือน หลังจากนั้นก็ออกติดตามหลวงปู่ญาท่านตู๋ธุดงค์ตามชายแดนประเทศพม่า ผ่านป่าเขาลำเนาไพรถิ่นลี้ลับอาถรรพ์เผชิญทั้งสัตว์ร้ายและสิ่งเร้นลับมากมายมุ่งหน้ากลับจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งในระหว่างทางได้พบเจอเสวนาธรรมกับพระธุดงค์อีกหลายรูป

         ปี พ.ศ. 2495 เมื่ออายุครบ 20 ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดสุขาวาส บ้านเวียง อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีหลวงปู่ญาท่านตู๋ ธัมมสาโร เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้ศึกษาอักขระเวทมนต์คาถาพุทธาคมสายสำเร็จลุนในขั้นสูงจากหลวงปู่ญาท่านตู๋จนหมดภูมิ

          ปี พ.ศ. 2498 ท่านออกธุดงค์ตามลำพังเพื่อบำเพ็ญเพียรตามป่าเขาในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เช่น ภูด่านทอง ภูด่านกอย ภูผาผึ้ง ภูหล่น ถ้ำเหวสินธุ์ชัย ถ้ำโตงเตง ลงไปถึงชายแดนประเทศกัมพูชา เช่น ภูจองนายอย เป็นต้น

          จะกล่าวถึง “ภูด่านทอง” ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนลี้ลับเป็นที่หมายของพระภิกษุในการธุดงค์เป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่หมู่บ้านหนองผักแว่น ตำบลสารภี อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี ในสมัยนั้นสภาพเป็นภูเขาป่าหนาทึบชาวบ้านเรียกกันว่า “ดง” หรือ “ดงเสือ” ชาวบ้านเล่าว่ามีพระภิกษุธุดงค์มาปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำ บ้างก็เห็นวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปก็มี บ้างเสียสติไปก็มี บ้างก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย มีปรากฏการณ์แสงพุ่งสว่างออกมาจากถ้ำอยู่บ่อย ๆ และมีฟ้าผ่าลงมาบ่อยมาก เชื่อกันว่าที่แห่งนี้มีสิ่งลี้ลับและแร่กายสิทธิ์เหล็กไหลสถิตอยู่ จึงเป็นสาเหตุทำให้ผู้แสวงบุญ แสวงธรรม หรือแม้แต่ผู้ต้องการลองวิชาต่างก็ประสงค์จะผ่านบทพิสูจน์จากดินแดนแห่งนี้ หลวงปู่ทาธุดงค์บำเพ็ญภาวนาอยู่ถึง 3 เดือนและยังเวียนธุดงค์ขึ้นไปอยู่เป็นประจำ

          ปี พ.ศ. 2503 อายุได้ 28 ปี สถานการณ์จังหวัดอุบลราชธานีเกิดขบวนการพรรคคอมมิวนิสต์ ทางอำเภอและชาวบ้านเห็นว่าท่านเป็นผู้รอบรู้ มีสติปัญญา ไปมาหลายที่ รู้จักภูมิศาตร์พื้นที่เป็นอย่างดี จึงขอให้ท่านลาสิกขาออกมาเป็นผู้นำชุมชนต่อต้านคอมมิวนิสต์ เนื่องจากท่านประสงค์ศึกษาพระธรรมเป็นทุน จึงตอบปฏิเสธไป แต่สุดท้ายก็มีการขอร้องเชิงบังคับจากทางราชการ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

          ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลวงปู่ทามุ่งแต่ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดตามแนวทางสายสำเร็จลุนและญาท่านตู๋จนเป็นที่ยอมรับและให้ความเคารพของประชาชน ท่านได้ใช้สรรพวิชาต่างๆ ที่ร่ำเรียนมาช่วยปัดเป่า ช่วยเหลือ คลายทุกข์สงเคราะห์ให้กับชาวบ้านญาติโยมอย่างเต็มความสามารถ โดยไม่เลือกปฏิบัติแบ่งชั้นหรือวรรณะ ด้วยความมีเมตตา ผู้ใดที่ไปที่วัดล้วนแต่ได้รับความสบายใจ อิ่มเอมในธรรมที่หลวงพ่อท่านสั่งสอนด้วยความมีเมตตาของหลวงพ่อ ทำให้ผู้ที่ได้ไปที่วัดต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ควรค่าแก่การกราบไหว้อย่างแท้จริง

          ปัจจุบันวัดศรีสว่างนาราม อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี กำลังก่อสร้างพระอุโบสถ และถาวรวัตถุในวัด เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา และเป็นที่พึ่งทางใจให้แก่ญาติโยมทั้งในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง แต่ยังขาดปัจจัยจึงได้มอบหมายให้ แฟร้ง มนัตย์ ลุนพิลา นักสร้างหน้าใหม่ ทีม Rose 168 จัดสร้างวัตถุมงคลเหรียญเจ้าสัว หลวงพ่อทา นาควณฺโณ เพื่อหารายได้สร้างพระอุโบสถให้แล้วเสร็จ และเผยแพร่บารมีหลวงพ่อทา

          สำหรับเหรียญเจ้าสัว หลวงพ่อทา นาควณฺโณ นี้ ปัจจุบันเปิดให้สั่งจองแล้ว ทั้งแบบลุ้น 299 บาท และยกลัง 29,999 บาท ซึ่งผู้สั่งจองทั้งแบบยกลังและแบบลุ้น มีสิทธิ์ได้รับเหรียญทองคำ ที่ทางแฟร้ง มนัตย์ ลุนพิลา ประกาศแจกจริง ใส่จริง มีจริง ไม่จกตา พร้อมรอรับซื้อราคาสูงถึง 100,000 บาท นอกจากนี้สำหรับผู้ที่สั่งจองแบบยกลัง การันตีมีเนื้อเงินลงยา และเนื้อเงินบริสุทธิ์อย่างละ 1 เหรียญ ในลัง…ทุกลัง! ยังไม่หมดเพียงเท่านี้!! สำหรับใครที่ได้รับรายการที่ 2 มาสเตอร์พีซ เนื้อเงินลงยาหน้า-หลัง หน้ากากทองคำ แดงเขียว รับเช่าทันทีขั้นต่ำเหรียญละ 20,000 บาท และรายการ 10 เนื้อนวนมวลสารหน้ากากทองทิพย์ รายการที่ 11 เนื้อ 2 กษัตริย์ รายการที่ 12 เนื้อ 3 กษัตริย์ รับซื้อคืนขั้นต่ำเหรียญละ 1,500 บาท และรายการอื่นๆ แฟร้ง มนัตย์ ลุนพิลา ค้ำประกันราคาจองให้หมด!! เปิดจองตั้งแต่วันที่นี้ ถึงวันที่ 5 ตุลาคม 2565

          พิเศษสุด!! สำหรับผู้ไปร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษก ในวันที่ 8 ตุลาคม 2565 นี้!! ทางผู้สร้างประกาศ แจกเหรียญสัตตะโลหะ เจ้าสัวหลวงพ่อทา นาควณฺโณ วัดศรีสว่างนาราม พร้อมมีสิทธิ์ลุ้นรับเหรียญทองคำอีก 1 เหรียญ รับซื้อหน้างานรับเงินทันที  60,000 บาท!! กลางคืนชมวงดนตรีเฉลิมพล มาลาคำ ห้ามพลาด! ห้ามลืม! แจกจริง! ให้จริง! ซื้อจริง! ไม่จกตา! ติดตามรายละเอียดได้ที่ แฟร้ง มนัตย์ ลุนพิลา 099-421-0043 หรือ กลุ่มอนุรักษ์วัตถุมงคลหลวงปู่ทา นาควัณโณ วัดศรีสว่างนาราม จ.อุบลราชธานี   

0 Comments

Reply your comment

Your email address will not be published. Required fields are marked*

WordPress Image Lightbox