พระเก่าที่น่าเก็บ

มาตรฐานสีผึ้งไทย ตอนที่ 4 สีผึ้งกายสิทธิ์อาจารย์บึ ภูสิงห์ ตำรา ผู้ใหญ่กรวล บ้านห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์

%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%90%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%9c%e0%b8%b6%e0%b9%89%e0%b8%87%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88

//เล็ก ลูก้า

          ประวัติศาสตร์ มักเกิดขึ้นจากซากปรักหักพังที่ทิ้งร่องรอยแห่งอารยะผ่านการบอกเล่าและการจดบันทึกเสมอ คอลัมภ์ “มาตรฐานสีผึ้งไทย” คือการจดบันทึกชนิดหนึ่งที่หวังให้ผู้เสพได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารเรื่องราวอันเป็นปัจจุบันของแวดวง วงการสีผึ้งเมตตาสีผึ้งอาคมของบ้านเรา และคาดหวังให้ลูกหลานได้ใช้อ้างอิงถึง เมื่อล่วงเลยไปถึงยุคของพวกเค้า

          กระผมขอกราบสวัสดีมิตรรักแฟนคอลัมภ์มาตรฐานสีผึ้งไทยทุกท่าน เมื่อหลายปีก่อน ผมได้ไปฝังตัวอยู่ในจังหวัดศรีสะเกษ แถวๆอำเภอขุขันธ์ เพื่อให้ง่ายต่อการตระเวนไปตามบ้านของชาวบ้านในท้องถิ่น ทันทีที่มีคนส่งสัญญาณมาให้ทราบว่า บ้านหลังนั้นบ้านหลังนี้พวกเค้ามีสีผึ้งหลวงปู่โป๊ะวัดบ้านบิง ผมจะรีบไปถึงบ้านเพื่อเจรจาขอซื้อถึงที่ในทันที

          ก็มีวันหนึ่งมีสายรายงานเข้ามาว่า มีชายชราท่านหนึ่งอายุ 80 กว่าๆแล้ว ท่านเป็นคนที่ทันยุคหลวงปู่โป๊ะและติดตามถ่ายภาพหลวงปู่โป๊ะไปในหลายๆที่หลายๆโอกาส เมื่อทราบดังนั้นกระผมไม่รอช้ารีบบุกไปถึงบ้านคุณตาท่านนั้นโดยแทบจะทันที
เมื่อผมและคณะมาพบกับท่าน สิ่งแรกที่สร้างความประหลาดใจคือ ท่านไม่เหมือนคนอายุ 80 กว่าๆตามที่ได้รับข่าวมา ทั้งวิธีการพูด วิธีการเจรจาของท่าน ท่าทางกริยาของท่าน เหมือนห่างจากผมไม่น่าจะเกิน 10-20 ปี ยิ่งเมื่อผมได้สนทนากับท่านอย่างใกล้ชิดจึงทำให้ผมสนใจในตัวท่านมากขึ้นมากเลยทีเดียว คุณตาท่านชื่อ “ตาเปร๊าะ” สำหรับคนที่อาศัยอยู่ย่านบ้านห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ ก็คงรู้จักท่านดี ท่านจะปั่นจักรยานคู่ใจไปถ่ายภาพตามงานตามสถานที่ต่างๆในย่านนั้นอยู่เป็นประจำ ท่านทำมาแล้ว กว่า 50 ปี เมื่อผมแนะนำตัวเองและบอกท่านถึงเจตนาที่ผมมาหาท่าน ท่านก็ยินดีจะนำสีผึ้งสามสี่กระปุกพร้อมกับภาพถ่ายและแผ่นฟิล์มเก่าของหลวงปู่โป๊ะวัดบ้านบิงออกมาให้ผมดู แต่ผมจะขออนุญาตข้ามเรื่องนี้ไปก่อน ข้ามกระบวนการซื้อ-ขายอันเป็นเรื่องส่วนตัวออกไปก่อน แต่จะเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังเกี่ยวกับเรื่องราวของตาเปร๊าะ ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง และตาเปร๊าะ ท่านจะเป็นประตูบานสำคัญที่จะเปิดโลกแห่งตำนานสีผึ้งท้องถิ่นนาม “สีผึ้งกายสิทธิ์” ให้ทั้งผมและท่านทั้งหลายได้รู้จัก ณ บัดนี้

          “ตาเปร๊าะ ดวงใจดี” ท่านเป็นบุตรของผู้ใหญ่กรวล (ประเสริฐ บุญขาว) แห่งบ้านห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นตาเปร๊าะ ผู้มีเมียมากถึง 21 คนและปัจจุบันท่านอายุ 84 ปีกว่าๆแล้วอยู่กินกับเมียคนที่ 21 เป็นหลัก ตามประวัติของผู้เป็นบิดาที่ผมทราบมาว่า ตาเปร๊ะท่านเป็นผู้รับมรดกตลับสีผึ้งเก่าแก่ลึกลับของผู้ใหญ่กรวลทั้งหมด แต่ไม่ได้รับสืบทอดวิชามาด้วย เนื่องจากตาเปร๊าะนิยมนำสีผึ้งมาใช้หวังผลด้านเสน่ห์เมตตา

          มหานิยมโดยตรงแต่ไม่ปรารถนาจะร่ำเรียนมาเพื่อเป็นครูหรือหมอเสน่ห์ แต่อย่างใด แต่ตาเปร๊าะกลับชี้เป้าต่อไปยังหลานชายของท่านอีกคน ที่ด้วยวันเผาศพผู้ใหญ่กรวลแห่งบ้านห้วยเหนือแล้วได้เกิดอาการประหลาดขึ้นแก่หลานชายคนนี้ จนต่อมาภายหลังเกิดปรากฏว่าหลายชายคนนี้ได้รับวิชาสีผึ้งกายสิทธิ์ผ่านนิมิตรวมทั้งวิชาหมอพื้นบ้านและการปรุงยาสมุนไพรรวมถึงการหุงน้ำมันเสือ น้ำมันลิงลม และการหุงน้ำมันเสน่ห์ต่างๆ สามารถปรุงแต่งเองได้ตามแบบฉบับของผู้ใหญ่กรวลทุกประการทั้งๆที่ท่านไม่เคยได้ร่ำเรียนมาโดยตรงอย่างน่าฉงน…..จนถูกชาวบ้านและพระในท้องถิ่นกล่าวหาว่าท่านเป็น “ปอบ”
สีผึ้งกายสิทธิ์อาจารย์บึ ภูสิงห์ ตำรา ผู้ใหญ่กรวล บ้านห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์

          อาจารย์บึท่านมีศักดิ์เป็นหลานของผู้ใหญ่กรวล เป็นผู้ใหญ่กรวลผู้มีฉายา “มือปราบปืนโหด” แห่งบ้านห้วยเหนือ ตําบลห้วยเหนือ อําเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ในยุค ๒๕๐๐ ผู้ใหญ่กรวลท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงในเรื่องความทรนงในศักดิ์ศรี ท่านไม่เคยก้มหัวให้กับความอยุติธรรมใดๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อการร้าย หรือเสือร้ายในพื้นที่ หรือจะมาจากพื้นที่อื่นที่คิดจะข้ามเขตเข้ามาก่อการในพื้นที่ดูแลของท่าน ท่านไม่เคยปล่อยให้ผ่านไปได้ และบ่อยครั้งท่านจะวิสามัญโจรผู้ร้ายเหล่านั้นไม่ทิ้งไว้ให้เป็นเยี่ยงอย่าง จนเป็นที่เลื่องชื่อลือชาในความเด็ดขาดของท่านและว่ากันว่าท่านนั้นมีอาคมขลังหนังเหนียวยิงฟันไม่เข้า และแม้ตัวท่านจะเป็นคนที่มีรูปร่างเล็กแต่ใจท่านใหญ่เกินตัวมีความเด็ดขาดและเป็นคนประเภทพูดจริงทำจริงจนเป็นที่ยำเกรงแก่ชุมโจร นักเลง และอันธพาลต่างๆเป็นอย่างมาก ท่านดูแลลูกบ้านให้กินอิ่มนอนหลับสบายด้วยความอุ่นใจมาตลอดการทำหน้าที่ของท่าน

          ส่วนในเรื่องมหาเสน่ห์นั้นท่านก็ไม่เบา ตัวท่านมีสีผึ้งอยู่ชนิดหนึ่งที่เป็นสีผึ้งตำราต้นตระกูลของท่านที่ทำให้ท่านแม้จะเป็นคนพูดน้อยประเภทเสือยิ้มยากแต่ท่านก็เป็นที่รักและหมายปองของสาวน้อยสาวใหญ่ทั่วทั้งตำบล ชาวบ้านทราบดีถึงฤทธิ์เดชในสีผึ้งของท่านและพากันขนานนามสีผึ้งของท่านว่า “สีผึ้งกายสิทธิ์” เป็นสีผึ้งที่ไม่อนุญาตคนนอกสายเลือดเรียนวิชานี้ได้โดยเด็ดขาด ถึงแม้จะได้เรียนหรือครูพักลักจำมาได้ก็ไม่ขลังอยู่ดี

          จนเมื่อท่านสิ้นอายุไข ไม่มีใครกล้ารับเอาวิชาท่านมาเพราะกลัวจะเอาไม่อยู่ ในเวลาต่อมาอีกหลายปีวิชานี้กลับไม่ได้สูญหายไปกับท่าน แต่ได้ไปเข้านิมิตรเพื่อเลือกผู้สืบสันดานเองอย่างน่าประหลาด โดยลูกชายท่านคนหนึ่ง ชื่อ ตาเปร๊าะ มีอายุ 84 ปีกว่าแล้วในปัจจุบัน ตัว ตาเปร๊าะแม้นจะไม่ได้เรียนวิชามาโดยตรงแต่ก็สืบสายเลือดผู้ใหญ่กรวลมา จึงใช้สีผึ้งกายสิทธิ์ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ตาเปร๊าะท่านไม่ใช่สายบู๊เหมือนบิดาท่าน ท่านจึงมุ่งไปที่การสีผึ้งเพื่อมหาเสน่ห์เป็นสำคัญ จนปัจจุบันแม้ ตาเปร๊าะท่านจะอายุกว่า 84 ปีแล้ว ท่านยังมีเมียในปกครองถึง 21 คน เมียคนเล็กสุดอายุห่างจากท่าน 40 กว่าปี เรียกว่าเป็นปู่กับหลานได้เลยทีเดียว ปัจจุบันตาเปร๊าะท่านก็ยังมีชีวิตอยู่และแข็งแรงดี ตาเปร๊าะเคยสนทนากับกระผมและแลกเปลี่ยนวัตถุมงคลกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ตาเปร๊าะ มุ่งไปทางใช้สีผึ้งเพื่อความเป็นเมตตามหานิยม ผู้ใหญ่กรวลท่านก็ยังมีหลานชายที่สืบเชื้อสายเลือดเดียวกันอยู่อีกหนึ่งคน หลานท่านคนนี้เป็นผู้มีอาคมสูง ร่ำเรียนวิชาแขนงต่างๆอย่างเงียบๆมาแต่ครั้งเยาว์วัย ทุกๆวันพระ หนุ่มน้อยคนนี้มักจะเข้าวัดใกล้บ้านเพื่อช่วยกิจการของวัดเป็นการสร้างกุศลบุญและอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอๆไม่เคยขาด หนุ่มน้อยคนที่ว่านี้ ต่อมาไม่นานก็ได้มารับหน้าที่ผู้สืบทอดวิชา “สีผึ้งกายสิทธิ์” โดยที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้เลือกแต่เป็นสีผึ้งที่เลือกท่าน ท่านคือ “อาจารย์บึ ภูสิงห์”

          อาจารย์บึ ท่านเรียนเวทย์อาคม ทั้งสายคงกระพัน ทั้งวิชาผูกของ ถอนของ รักษาคนป่วย แก้คุณไสยไล่ผี และสักยันต์ และใช้วิชาต่างๆนั้นช่วยคนมาโดยตลอดและทำมาต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี จนจู่ๆวิชาสีผึ้งกายสิทธิ์นั้นก็บังเกิดขึ้นในโสตสัมผัสของท่านหลังจากท่านนิมิตรถึง ท่านจึงกำหนดจิตรับเข้ามาแล้วก็พบว่าท่านสามารถรู้ได้ด้วยตนเองว่าต้องใช้มวลสารและของอาถรรพ์ใด ฤกษ์ยามไหนจึงจะหุงได้ มวลสารว่านต่างๆที่ว่าหายากและหาไม่ได้แต่ท่านกลับหาได้ครบหาได้ตรงตามตำราอย่างน่าประหลาดใจ รวมทั้งระหว่างการหุงสีผึ้งของท่านนั้น ก็ว่ากันว่าได้เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดมากมายหลายอย่างทั้งแสงประหลาดที่พุ่งลงหลังคาบ้านท่านยามเสกสีผึ้ง จนชาวบ้านหลายคนที่ไม่เคยเห็นอานุภาพของสีผึ้งกายสิทธิ์นั้น ต่างจึงเข้าใจว่าอาจารย์บึท่านเป็นปอบแน่นอน ถึงจะทำอะไรแบบนั้นได้

          ตัวกระผมเองได้สนทนากับอาจารย์บึมาหลายครั้ง เรียกท่านว่าอาจารย์ตามผู้ใหญ่ที่แนะนำมา และก็ทราบดีว่าท่าน จิตเป็นสมาธิและยึดโยงอยู่ที่ศีล ๕ อยู่ตลอด จึงไม่เชื่อว่าท่านจะเป็นปอบตามที่มีบางคนนินทาว่าร้ายท่าน ตรงกันข้ามท่านมักช่วยงานบุญไม่เคยขาดทั้งที่มีคนร้องขอและไม่ได้ร้องขอ

          สีผึ้งกายสิทธิ์ที่อาจารย์บึหุงนั้น จะมีความแปลกและมีอัตลักษณ์ในตัวสูงมาก ท่านจะใช้เนื้อขี้ผึ้งเดือน ๕ เป็นมวลสารหลัก ท่านจะรวบรวมขี้ผึ้งจากคนหาของป่าและนำมาต้มทำขี้ผึ้งแผ่นดิบเองและเสกสะสมมาเรื่อยๆข้ามปีเอาไว้รอฤกษ์หุง เพื่อเตรียมไว้หุงกับว่านยาว่านเสน่ห์และของอาถรรพ์ต่างๆ แต่จุดที่ถือว่าแปลกสุดๆคือ ทุกๆตลับสีผึ้งของท่านๆจะเคลือบฉาบหน้าสีผึ้งด้วยครีมบาหยันเสมอ

          ไอ้เจ้าครีมบาหยันนั้นเป็นครีมแต่งผมชายที่ไม่มีสารเคมีเจือปน แต่ผลิตจากเกสรดอกไม้มงคล ว่านเสน่ห์ และสารพัดของมงคลนานาชนิด ซึ่งมีขายตามแถบชายแดนไทยกัมพูชาในยุคก่อน ๒๕๐๐ ขายจนถึงประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๐ กว่าๆ โรงงานก็เลิกผลิตเพราะท้องตลาดเลิกนิยมครีมแต่งผมแล้วเปลี่ยนมานิยมใช้เจลแต่งผมและแว็กซ์แต่งผมแทนเพราะเป็นผลิตภัณฑ์นำเข้าและมีรูปลักษณ์ทันสมัยกว่าครีมบาหยันมาก อาจารย์บึท่านจึงกว้านซื้อครีมบาหยันย่านชายแดนเก็บเอาไว้จำนวนมาก เพราะเป็นมวลสารตามตำราที่มีนัยยะสำคัญ คล้ายๆในยุคที่หลวงปู่โป๊ะท่านใช้น้ำมันแต่งผมโพลาดผสมในสีผึ้งไม่ผิดเพี๊ยน แต่อุปเท่ห์ของอาจารย์บึท่านว่าไว้ว่าการเคลือบบาหยันก็ให้สีผึ้งนั้นให้คุณไปในทางเมตตามหานิยม โชคลาภ มหาเสน่ห์ และการทำมาหากินคล่อง ถ้าขืนไม่ฉาบหน้าด้วยครีมบาหยันแล้วปล่อยให้คนนำไปใช้เลย สีผึ้งนั้นจะไปในทางใดจะอยู่ที่จิตใต้สำนึกผู้ครอบครองเป็นสำคัญจะเกิดอันตรายสูง ด้วยคนมีศีลไม่เสมอกัน ย่อมมีความปรารถนาที่แตกต่างกันเกินคาดเดา คนดีใช้เป็นเมตตาแก่ตัวก็ดีไป หากคนเลวใช้ยิ่งเลวหนักกว่าเดิม

          เมื่อครั้งที่กระผมไปกราบอาจารย์บึและสนทนาถึงเรื่องราวสีผึ้งกายสิทธิ์ของท่าน ท่านก็ได้มอบให้กระผมหลายสิบตลับให้นำติดตัวกลับมากรุงเทพฯด้วย กระผมจึงนำติดตัวมาด้วยทั้งหมดและก็วางไว้บนหัวเตียงในโรงแรมที่พักค้างแรมก่อนออกเดินทาง ผู้ร่วมคณะที่มาด้วยกันพักโรงแรมเดียวกันก็เกิดนอนไม่ค่อยหลับอยากจะเข้ามาคุยด้วยในห้องกระผม แต่เมื่อจะเคาะประตูแล้วเห็นแสงจ้ารอดออกมาจากห้องจึงเกิดเปลี่ยนใจไม่กล้าเคาะประตูและมาเล่าความให้ผมฟังในตอนเช้า จนผมเองก็ต้องอึ้ง จึงโทรกลับไปถามอาจารย์ก็ได้ทราบว่ากระผมนำสีผึ้งออกจากบ้านท่านเกิน ๕๐ ตลับ ของทั้งหมดนั้นเมื่ออยู่รวมกันมันก็เกิดพลังงาน ยิ่งถ้าวางรวมกันเกินกว่ากำหนดแล้วตั้งพานรับเข้าหาตัว สีผึ้งทั้งหมดนั้นจะกลายเป็นสีผึ้งคงกระพันชาตรีแก่ผู้ครอบครองทันที เฉกเช่นเดียวกันกับสีผึ้งที่ปู่ของท่าน ผู้ใหญ่กรวล ใช้คุ้มตัวสมัยมีชีวิตอยู่ แต่ถ้ามุ่งมาคงกระพันจะทำมาค้าขายไม่ขึ้นเรื่องนี้ต้องระวังให้ดี (ผมขออนุญาตไม่บอกจำนวน เนื่องจากเป็นวิชาที่ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง)
การใช้สีผึ้งกายสิทธิ์

          อาจารย์บึท่านย้ำกับกระผมว่า อันดับแรกได้ไปต้องรับท่านก่อนรับด้วยพานครูพานขันธ์ ๕ รับแล้วใช้ได้เลย ไม่ต้องทา ไม่ต้องว่าคาถา สีผึ้งนี้สำเร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีคาถา แค่พกติดตัว จะห้อยคอก็ดี ใส่กระเป๋าเสื้อก็ดี ได้ทั้งนั้น เวลาใช้ให้นึกในใจ อยากได้อะไรให้นึกเอาในใจ ขอบ่อยๆ นึกถึงบ่อยๆ เมื่อจิตเรากับจิตเค้าสื่อถึงกันได้ ขออะไรก็สำเร็จดุจของกายสิทธิ์ ฤทธิ์ใดๆก็สู้ท่านไม่ได้ อย่าสงสัยอย่าตั้งคำถามมาก ใช้เลย

ข้อห้าม
          ท่านย้ำชัดว่า ห้ามนำสีผึ้งอื่นมาผสมเด็ดขาดตัวจะเป็นปอบ ห้ามตั้งใจสูดดมเด็ดขาดของเข้าตัวเข้าลมหายใจแล้วถอนยาก ห้ามใช้เนื้อสีผึ้งเด็ดขาด ธาตุมนุษย์นั้นอ่อนผู้ใช้จะเจ็บป่วยง่าย เรื่องอื่นไม่ได้ห้ามใช้ตามอัธยาศัย
ข้อแนะนำในการใช้

          ท่านว่าผู้ใดถือศีล ๕ ได้ สีผึ้งนี้จะปรากฏเกิดความมหัศจรรย์แก่ชีวิตอย่างไม่มีสีผึ้งใดบันดาลให้ได้มาก่อน ให้ลองทำดู
ท่านที่สนใจสีผึ้งกายสิทธิ์อาจารย์บึ ภูสิงห์ สอบถามได้ที่ : 099 295 7139 (คุณจูน สุดยอดสีผึ้งแดนสยาม) Facebook: เปา วิชัย ธุระพันธุ์

ด้วยความปรารถนาดีและเพื่อการเผยแผ่บารมีครูบาอาจารย์
ขอให้ทุกท่านโชคดี สำหรับวันนี้ ที่นี่ สวัสดี
“เล็ก ลูก้า”

 

0 Comments

Reply your comment

Your email address will not be published. Required fields are marked*

WordPress Image Lightbox