//เล็ก ลูก้า
สีผึ้งกอด สุดยอดเสน่หา
สุดคณา สีผึ้งธาตุ
ร้ายฉกาจ สีผึ้งเบ็ด
เสน่ห์สำเร็จ สีผึ้งม่วน
เสน่ห์ล้วนๆ สาริกา
เชื่อว่าท่านทั้งหลายใครที่ได้เคยแวะไปเยี่ยมคารวะ อาจารย์อ้วนหมอผีที่บ้านราษฎร์บูรณะ ท่านคงจะคุ้นเคยดีกับประโยคดังกล่าว ที่แม้จะดูสั้นๆแต่อธิบายถึงสรรพคุณในความเอกอุในศาสตร์สีผึ้งของอาจารย์อ้วนท่านได้เป็นอย่างดี ผมเองก็จัดเป็นลูกศิษย์ชั้นปลายแถวของอาจารย์อ้วนเช่นกัน ที่จัดตัวเองอยู่ในชั้นปลายแถวก็เพราะผมไม่ค่อยได้มีเวลาไปช่วยงานอาจารย์ท่าน แต่ก็ยังเคารพรักและนับถือท่านเป็นครูอยู่เสมอ หลายท่านที่ติดตามผมก็จะทราบดีว่าผมพูดถึงอาจารย์อ้วนท่านอยู่บ่อยๆ ทั้งตัวอาจารย์ท่านเองก็รักศิษย์เสมอเหมือนกันทุกคนไม่แบ่งแยก ศิษย์ปลายแถวอย่างผมเมื่อขอให้ท่านมาช่วยในวันเปิดร้าน วันจัดงานสานเสวนา ที่ห้างพันทิพย์บางกะปิ ท่านก็เมตตามาให้โดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
หากท่านยังไม่เคยได้แวะเวียนไปคารวะอาจารย์ท่าน หรือหากท่านยังไม่เคยรู้จักตัวตนของชายผู้เป็นตำนานไสยเวทย์ที่ยังมีลมหายใจอยู่ ท่านทั้งหลายตามผมมา ประเดี๋ยวผมจะพาท่านไปรู้จักกับ พ่อครูโหร ประวิทย์ เตียวิวัฒน์ (อาจารย์อ้วน ประมุขเตีย) เจ้าของฉายา “อาจารย์อ้วนหมอผี” บุรุษผู้มีวิชาอาคมขลังทั้งยังมีความรอบรู้ในศาสตร์ทางโหร จนสามารถนำวิชาความรู้ทั้งหลายเหล่านี้ มาสรรสร้างวัตถุมงคลที่ก่อให้เกิดผล เป็นที่ตื่นตะลึง อย่างเหลือเชื่อมาแล้วมากมาย
ประวัติโดยย่อ
อาจารย์อ้วนหมอผี ในวัยเด็กท่านร่ำเรียนมาจากสถาบันวิทยาลัยนาฏศิลป์วังหน้า เอกนาฏศิลป์ และด้วยรูปร่างที่ดูกำยำของท่านจึงได้รับเลือกให้เล่นเป็นตัวยักษ์มาตั้งแต่ยังเล็ก สำหรับตัวยักษ์ที่อาจารย์อ้วนเคยเล่นมานั้นล้วนแต่เป็นยักษ์มีศักดิ์ทั้งสิ้น อันได้แก่ ทศกัณฐ์ กุมภกรรณ เหล่านี้ท่านเรียนท่านเล่นมาอย่างชำนาญ
ชีวิตในวัยเด็กของท่านเริ่มหันเข้าสู่เรื่องราวอันเร้นลับเมื่ออาจารย์อ้วนท่านได้พบกับ ครูกัน หรือครูวรกันต์
ครูวรกันต์ท่านเป็นศิษย์ หลวงพ่อเคนวัดถ้ำเขาอิโต้ จ.ปราจีนบุรี ครูวรกันต์มาซื้อข้าวแกงที่บ้านอาจารย์อ้วนอยู่เป็นประจำ สมัยนั้นอาจารย์อ้วนเล่าว่าท่านเป็นลูกแม่ค้าขายข้าวแกง จนต่อมาครูวรกันต์ จ้างเด็กชายอ้วนสมัยนั้นให้นำข้าวนำกับข้าวไปถวายตามหิ้งต่างๆของบ้านท่าน ได้ค่าจ้างสมัยนั้นวันละ ๓๐ บาท ซึ่งถือว่ามาก
และเมื่อเริ่มสนิทกับกับครูวรกันต์แล้ว ครูวรกันต์จึงเริ่มให้วิชาแก่อาจารย์อ้วน และวิชาที่ท่านได้จากครูวรกันต์ในสมัยนั้นก็คือ ตัวเฑาะ วิชานี้ท่านว่าดีทางหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพัน พอลงแล้วก็ลองกันเดี๋ยวนั้นเลย
ชื่อเสียงของอาจารย์อ้วนหรือเด็กชายอ้วนในสมัยนั้นเริ่มปรากฏในวงเพื่อนฝูงก็เมื่อยามเล่นกระบี่กระบอง อาจารย์อ้วนสมัยนั้นจะใช้ร่างกายคือต้นแขนหรือสีข้างรับกระบี่โดยไม่เคยหลบแต่แปลกที่ไม่เคยได้รับอันตรายจากคมและแรงกระแทกของกระบี่แต่อย่างใด ความสนใจเรื่องคาถาอาคมของอาจารย์อ้วนหรือเด็กชายอ้วนในสมัยนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อท่านเกิดได้ยินชื่อเสียงของพราหมณ์สุทโธ จ.นครสวรรค์ จากเพื่อนคนหนึ่งซึ่งบวชเณรอยู่ที่วัดประเสริฐสุทธาวาส ซึ่งขณะนั้นตรงกับปีพุทธศักราช 2520 อาจารย์อ้วนท่านอายุได้เพียง 16 ปีเท่านั้น
เพื่อนเณรของอาจารย์อ้วนชอบอ่านหนังสือพระ และเป็นแฟนตัวยงของนิตยสาร “หนังสือ มหัศจรรย์ ” เรียกได้ว่าไม่เคยพลาดแม้แต่เล่มเดียว หนังสือมหัศจรรย์ เป็นหนังสือที่รวมเรื่องราวเกี่ยวกับ พระเครื่อง พระเกจิอาจารย์ ของขลัง เรื่องราวลี้ลับต่างๆในยุคนั้น ได้มีการลงเรื่องราวของ ครูพราหมณ์ สุทโธ และครูพราหมณ์ท่านก็ประกาศรับลูกศิษย์ ผ่านทางหนังสือ มหัศจรรย์พอดี ด้วยการโทรคมนาคมในสมัยนั้นจะใช้วิธีการส่งโทรเลข และ ส่งจดหมายอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้มีโทรศัพท์ใช้สื่อสารได้อย่างสะดวกอย่างในปัจจุบัน ผู้ที่ต้องการเรียนวิชากับ ครูพราหมณ์ สุทโธ จะต้องเขียนจดหมายไปหาท่านเท่านั้น ที่ตู้ ปณ. ๑ สวรรค์วิถี เพื่อนของอาจารย์ที่เป็นเณรก็ ยื่นหนังสือให้อาจารย์อ้วนดูแล้วเอ่ยถามว่า “สนใจไหมเขาเปิดรับลูกศิษย์”
เมื่ออาจารย์อ้วนท่านเห็นรายละเอียดในหนังสือดังนั้นก็รู้สึกสนใจ และอีกใจหนึ่งก็อยากพิสูจน์ว่าเป็นของจริงหรือว่าหลอกลวง พอตกเย็นวันนั้นก็ตัดสินใจเดินทางไปนครสวรรค์ทันที มีเงินติดตัวไปสี่ร้อยกว่าบาท โดยไปขึ้นรถที่หมอชิดเก่าไปถึงนครสวรรค์ก็พลบค่ำแล้ว ท่านบอกว่าตอนที่ไปนั้นไม่รู้ที่อยู่ของครูพราหมณ์รายละเอียดในหนังสือมหัศจรรย์ที่ลงไว้ รู้แต่เพียงว่า ครูพราหมณ์ท่านให้ส่ง จดหมายไปที่ ตู้ปณ.๑ สวรรค์วิถี ท่านก็ไปที่ทำการไปรษณีย์ เข้าไปติดต่อถามที่อยู่กับพนักงาน จึงได้ทราบว่าเจ้าของที่เช่าตู้ปณ.นี้อยู่ที่บ้านพักครูโรงเรียนอาชีวศึกษานครสวรรค์ (ครูพราหมณ์ สุทโธท่านเป็นครูสอนหนังสือที่นั่น) อาจารย์อ้วนท่านจึงติดตามไปขอเรียนวิชาถึงบ้านครูพราหมณ์สุทโธ
ครั้งแรกที่ไปอาจารย์อ้วนท่านบอกจำได้ดีว่าบ้านของครูพราหมณ์สุทโธนั้น หมาดุมาก ท่านเองก็มีวิชาอยู่กับตัว เลยเสกเป่าคาถาใส่ขนมปังแล้วโยนให้หมากิน ปรากฏว่าผ่านไปไม่กี่นาทีหมาทุกตัวเชื่องหมด เมื่อครูพราหมณ์สุทโธ ออกจากบ้านมาเห็นครูอ้วนกับหมาอยู่ด้วยกันก็แปลกใจว่าเป็นไปได้อย่างไร ถึงกับเอ่ยปากชมว่ามีดีเหมือนกันนี่ จากนั้นมาท่านก็ยินยอมมอบตำราและถ่ายทอดวิชาหลายต่อหลายอย่างให้อาจารย์อ้วน
แต่ความสนใจของอาจารย์อ้วนไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ด้วยนิสัยทำอะไรแล้วต้องรู้ซึ้งถึงแก่นรู้ลึกรู้จริง ในเวลาต่อมาท่านสนใจศาสตร์ในเรื่องทางวิญญาณ ท่านจึงลงทุนไปเรียนกับสัปปะเหร่อถึงสามวัด
วิชาทางสัปปะเหร่อนี้เป็นวิชาที่เกี่ยวกับวิญญาณโดยตรง ผู้ที่เรียนวิชานี้ผีมันกลัวเพราะแพ้ทางกัน เมื่อเรียนคาถาอาคมเกี่ยวกับคนตายด้านต่างๆแล้วก็ถือว่าสามารถสะกดผีสะกดป่าช้าและอาถรรพณ์ต่างๆได้พอตัวแล้ว ท่านจึงออกศึกษาหาความรู้ต่อ
อาจารย์อ้วนท่านเล่าว่าครั้งหนึ่งท่านไปทำบุญที่จังหวัดอุบลราชธานี ท่านได้พบกับพระอาจารย์รูปหนึ่งเล่าลือกันว่าท่านเรียนมาทางสายสำเร็จลุน อาจารย์อ้วนท่านจึงไม่รอช้าเพราะรู้ว่าถ้ามาทางสายสำเร็จลุนเก่งเรื่องธาตุ ๔ จึงงัดวิชาธาตุ๔ บริกรรมแล้วยิงไปที่พระอาจารย์รูปนั้นทันที ปรากฏว่าพระอาจารย์รูปนั้นหันมามองท่าน และทราบด้วยกระแสเจโตปริยญาณว่า มีคนลองของเข้าให้แล้ว จึงพูดขึ้นว่าฉันสู้เธอไม่ได้หรอก แต่อาจารย์ฉันน่ะสู้ได้ และจากเหตุการณ์ครั้งนั้นพระอาจารย์รูปดังกล่าวจึงพาอาจารย์อ้วนข้ามฝั่งเข้าไปยังประเทศลาวเพื่อเจออาจารย์ผู้ทรงฤทธิ์ของท่าน
อาจารย์ของพระอาจารย์รูปนี้เป็นฤๅษี อายุ ๑๔๐ กว่าปี มีบริวารเป็นฤๅษีอยู่หลายตน ลักษณะการอยู่ของเขาเหล่านั้นจะไม่สมาคมกับคนภายนอก ทุกคนล้วนมีวิชาเข้าฌานได้อย่างชำนาญมีฤทธิ์ปาฏิหาริย์มาก อาจารย์อ้วนเล่าว่าครั้งแรกที่พระอาจารย์รูปนี้พาไป ก็พาไปไหว้รูปปั้นฤๅษี อาจารย์อ้วนก็ถามว่าแล้วอาจารย์ของหลวงพ่ออยู่ไหน พระอาจารย์ท่านก็บอกว่าลองมองดูดีๆสิ อาจารย์อ้วนก็ต้องตกใจเพราะรูปปั้นที่กำลังไหว้กลับกลายเป็นคนมีชีวิตชีวาอย่างน่าอัศจรรย์ ท่านจึงไม่รอช้าฝากตัวเป็นศิษย์ของปู่ฤาษีตนนั้นโดยทันที
ถูกขนานนามว่า “อ้วน หมอผี”
ฉายา “อ้วนหมอผี” เนื่องจากเมื่อก่อนท่านเป็นสัปเหร่อและได้รับการครอบครูเรียนวิชาสัปเหร่อจาก อาจารย์ยัง วัดมะกอก จากคำบอกเล่าคือ มีเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สร้างชื่อ “อ้วนหมอผี” เรื่่องมีอยู่ว่า ได้เกิดคดีฆ่าข่มขื่นแล้วนำศพมาทิ้ง คาดว่าฆ่ามาจากที่อื่นแล้วนำเอาศพมาทิ้งจนขึ้นอืด สภาพศพเป็นหญิงไม่ทราบชื่อ ก็พอดีว่าตำรวจผู้รับหน้าที่ทำคดีนี้ มีความสนิทและเชื่อถือในตัวอาจารย์อ้วนเป็นอย่างมาก จึงมาปรึกษาขอให้ท่านช่วยเรียกวิญญาณผู้หญิงที่ตายให้มาช่วยตามจับคนร้ายผู้ที่ลงมือฆ่าในคดีนี้เพื่อช่วยคลี่คลายคดีนำความยุติธรรมคืนสู่หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายรายนี้ให้จงได้
ตกดึกวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ อาจารย์อ้วนท่านก็นำใบตองมาเย็บเป็นกระทงสี่ใบ ภายในใส่เครื่องเซ่น มี กุ้งพล่าปลายำ ข้าวปากหม้อ ปลาเป็นตัว เหล้าข้าว นำไปวางในบริเวณที่พบศพผู้ตาย แล้วจุดธูปปักเครื่องเซ่น แล้วนั่งบริกรรมอยู่สักครู่หนึ่ง ชั่วระยะเวลาไม่เกินหนึ่งก้านธูป ท่านก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกมาท่านบอกแต่เพียงว่า
“เดี๋ยวมันจะไปเข้าฝันบอกว่ามันเป็นใครมาจากไหน” และก็เป็นอย่างที่ท่านบอกจริงๆ หลังทำพิธีคืนนั้นผ่านไปไม่ถึงสามคืน กลางดึกของคืนวันที่สามตำรวจผู้ดูแลคดีนี้ก็ฝันว่า…ได้ไปในที่แห่งหนึ่งได้พบกับผู้หญิงเข้ามาพูดคุยด้วย ในฝันผู้หญิงคนนี้บอกว่าตนเองชื่อนี้….เป็นคนจังหวัดทางอีสานโดนหลอกเข้ามาทำงานในกรุงเทพโดยถูกบังคับให้ขายบริการในคาเฟ่แล้วถูกฆ่าตาย พอรุ่งเช้าตำรวจก็นำสืบตามหาเบาะแสคาเฟ่ในที่ต่างๆในท้องที่นั้นว่ามีผู้หญิงที่ชื่อนี้ ลักษณะนี้บ้างไหม ก็ปรากฏว่ามีผู้หญิงชื่อดังกล่าวจริง ตามในฝันที่ผู้หญิงคนนี้บอกทุกอย่าง จนตำรวจสามารถสืบหาตัวคนร้ายที่ก่อคดีฆ่าข่มขืนและถ่วงน้ำมาปิดคดีได้สำเร็จ จนในที่สุดเรื่องนี้เป็นเรื่องโด่งดังมากจนบรรดาตำรวจที่ทราบเรื่องราวต่างพร้อมใจกันเรียกท่านว่า “อ้วนหมอผี” แต่นั้นมา
รายนามครูบาอาจารย์ของอาจารย์อ้วนหมอผี
๑.อาจารย์วรกันต์ ศรีสมบัติ
๒.อาจารย์แปะฮวง แซ่ลิ้ม
๓.อาจารย์ไสว พรหมอินทร์
๔.ขึ้นธรรมกรรมฐานกับพระครูภาวนาวรคุณ (วัดเกตุมดีศรีวราราม)
๕.ครูพราหมณ์สุทโธ จังหวัด นครสวรรค์
๖.อาจารย์ชัยยศ คุ้มมณี
๗.อาจารย์พรหม บ้านขะมอน อ.ขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ
๘.อาจารย์ประยูร จิตโสภี จังหวัดโคราช
๙.อาจารย์แจ้ง เพชรัตน์
๑๐.อาจารย์ยัง วัดมะกอก
๑๑.อาจารย์ฮะ ก้อยประเสริฐ
๑๒.บรมครูฤๅษีใหญ่ แห่งภูเขาควาย
๑๓.อาจารย์มี ม่วงเถื่อน วัดบางกระช้าง
๑๔.เรียนวิชาโหราศาสตร์กับอาจารย์ภิญโญ พงศ์เจริญ (สมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ)
๑๕.อาจารย์จุก (วิชาพรายตกน้ำตายวันพระ)
๑๖.พระอาจารย์บุญส่ง วัดอุบล จังหวัดราชบุรี
๑๗.หลวงพ่อกี๋ วัดปากคลองบางครก จังหวัดเพชรบุรี
สีผึ้งอาจารย์อ้วนหมอผี
ในส่วนของสีผึ้งที่จัดว่าเป็นสุดยอดสีผึ้งในตำนานของอาจารย์อ้วนจะแบ่งเป็น ๒ สายวิชาด้วยกัน คือ สายวิชาจากพ่อครูวรกันต์ซึ่งได้รับสืบทอดมาจากสายหลวงพ่อเคน วัดถ้ำเขาอิโต้ ปราจีนบุรี สายนี้มีสีผึ้งอยู่ ๒ ชนิด ได้แก่ สีผึ้งนะหลงใหล และสีผึ้งกาหลง
ส่วนอีกสายวิชาคือสายวิชาจากฝั่งภูเขาควาย สปป.ลาว เป็นตำราของท่านยาคูบุญธรรม ปู่ฤาษีใหญ่ มีด้วยกันอยู่ ๕ ชนิด ได้แก่ สีผึ้งกอด สีผึ้งธาตุ สีผึ้งเบ็ด สีผึ้งม่วน และสีผึ้งสาลิกา
ซึ่งในส่วนของ สีผึ้งกอดและสีผึ้งธาตุนั้นปัจจุบันท่านไม่ได้ทำแล้ว สีผึ้งม่วนและสีผึ้งสาลิกานั้น อาจารย์อ้วนท่านจะทำแจกฟรีให้แก่ลูกศิษย์ทุกปีในคืนวันเพ็ญจนกลายเป็นประเพณีนิยมในสายนี้แล้ว ศิษย์ทุกท่านคงทราบดี
ส่วนสีผึ้งที่ถือว่าเป็นสีผึ้งระดับตำนานและสร้างชื่อเสียงให้กับอาจารย์อ้วนมากที่สุด ก็คือ สีผึ้งเบ็ด ซึ่งตัวกระผมเองมีประสบการณ์โดยตรงกับสีผึ้งชนิดนี้มาแล้วมากมายหลายต่อหลายครั้งแล้ว และได้เคยถ่ายทอดลงไปในคลิปหลายคลิปลองไปหาๆกันดู แต่บอกสั้นๆว่า นี่แหละทีเด็ด
อ้อ…เห็นฉายาของอาจารย์แล้ว ท่านทั้งหลายอย่าได้คิดว่าสีผึ้งของอาจารย์อ้วนท่านจะต้องเป็นสีผึ้งพรายนะ ไม่ใช่แม้แต่น้อย อาจารย์อ้วนท่านไม่เคยผสมอัฐิหรือแม้แต่น้ำมันคนตายหรือน้ำมันสัตว์ใดๆทั้งสิ้นเลย ท่านไม่เอาเลย ท่านบอกผมชัดถ้อยชัดคำ “เล็กนะ…ของมันขลัง ขลังที่อาคม ไม่ใช่ขลังที่เถ้ากระดูกคนตาย” การที่อาจารย์ท่านใช้ขี้ผึ้งล้วนๆในการหุงและเสกให้ขลังท่านบอกกับกระผมว่า ระดับของผู้ที่สำเร็จวิชาถ้าสามารถเสกขี้ผึ้งเปล่าๆให้ขลังได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งว่านยา ไม่ต้องพึ่งเศษชิ้นเนื้อหรือน้ำมันคนตายได้ แบบนั้นแหละเรียกว่า “ของแท้”
มีคำพูดประโยคหนึ่งของอาจารย์อ้วนที่ยังก้องอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา และเป็นที่มาที่ทำให้ผมรัก เคารพ และศรัทธาท่านมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ผมรู้ว่าท่านไม่แสแสร้งยกตนเป็นผู้วิเศษแม้ท่านจะสามารถทำได้ก็ตาม แต่ท่านไม่ทำ
“เล็กนะ…ผมไม่ใช่ผู้วิเศษ ไม่ใช่ผู้ทรงศีล ผมก็กินขี้ปี้เยี่ยวเหมือนกัน ไม่ต้องมาหวังว่าผมจะกินวันละมื้อถือศีลกินเจอะไรนะ ผมแค่มนุษย์ธรรมดาที่ร่ำเรียนวิชามาและยึดมั่นคำครูไม่เคยผิดคำครู ผิดแม้แต่นิดเดียวผมก็ไม่ทำ นอกตำราผมไม่มี”
นี่แหละอาจารย์ผม….. ท่านไม่ต้องเชื่อผมหรอก จนกว่าจะได้ลอง
สำหรับวันนี้ ที่นี่…สวัสดี
เล็ก ลูก้า
ประธานชมรมนักนิยมและสะสมสีผึ้งตลับเงิน
หลวงปู่โป๊ะเขมิโย วัดบ้านบิง
ร้านสุดยอดสีผึ้งแดนสยาม
และคณะกรรมการโต๊ะประกวดสุดยอดสีผึ้งแดนสยามยอดนิยม งานสมาคมฯ
โปรดติดตามตอนที่ 4/2564 สีผึ้งกายสิทธิ์ตำนานมือปราบห้วยเหนือ