โดย…..จ่าโกวิท แย้มวงษ์
ตำนานและความเชื่อของกะลาตาเดียว…..ตั้งแต่ครั้งโบร่ำโบราณ มีความเชื่อและนับถือศรัทธาเรื่อง กะลาตาเดียว ว่าเป็นสิ่งที่มีความพิเศษแฝงเร้นอยู่ในตัวของมันเอง ซึ่งต่างจากเครื่องรางของขลังชนิดอื่นๆ ตำนานความเป็นมาของการเชื่อถือของกะลาตาเดียว มีบันทึกสืบต่อกันมามากมายหลายกระแส หลายคนที่ยังไม่รู้อาจสงสัยว่า กะลาตาเดียว คืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร มีพุทธคุณโดดเด่นที่สำคัญอย่างไร ทำไมผู้คนทั้งหลายถึงนับถือและให้ความเชื่อถือกะลาตาเดียว
กะลามะพร้าวทุกสายพันธุ์โดยปรกติทั่วไปแล้วที่ก้นกะลาจะมี ตา ปรากฏอยู่ 2 ตา กับ 1 ปากแทบทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มา แต่ถ้าหากกะลามะพร้าวลูกไหนมีตาเหลือตาเดียว หรือไม่มีตาเลย นั่นถือว่าผิดปกติ แปลกประหลาด เลยไปถึงความอัศจรรย์ ที่หาได้ยากยิ่ง เพราะนานๆ จะได้พบเห็นสักลูกหนึ่ง
ตำนานเล่ากันว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชาวบ้านบางคนนำกะลาตาเดียวมาทำเป็นเครื่องรางของขลัง เจาะรูร้อยเชือกหรือสายสิญจน์คล้องคอ หรือคาดที่เอว ติดตัวไว้ใช้สำหรับเดินทางไปไหนมาไหน เพราะเชื่อกันว่าจะป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ได้
ข้าราชการสมัยโบราณบ้างก็เชื่อกันว่า ถ้านำกะลาตาเดียวมาแขวนติดตัวไว้ตลอดเวลา จะทำให้เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ได้เป็นเจ้านายใหญ่โต บรรดาเหล่าทหารกล้าที่ต้องไปทำศึกสงคราม ถ้ามีกะลาตาเดียวที่ลงคาถาอาคมติดตัวห้อยคอไปด้วย จะทำให้อยู่ยงคงกระพัน รอดพ้นจากคมหอกคมดาบของศัตรู แคล้วคลาดจากอันตราย กลับสู่มาตุภูมิได้อย่างปลอดภัย ส่วนชาวบ้านทั่วไปที่มีกะลาตาเดียวตักข้าวสารเวลาหุงข้าวทุกๆ วัน ครอบครัวนั้น จะเกิดความอุดมสมบูรณ์ มีข้าวปลาอาหารให้ดำรงชีพตลอดไปจนชีวิตจะดับสลาย
ปัจจุบันพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงได้นำกะลาตาเดียวมาทำเป็นเครื่องรางของขลัง ส่วนใหญ่นิยมนำกะลาตาเดียวมาแกะเป็นรูปพญาราหูทั้งขนาดบูชาและห้อยคอ
กะลาตาเดียวที่นำมาแกะเป็นรูปพญาราหูจากโบราณถึงปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกันสองแบบคือ แกะเป็นรูปพญาราหูอมพระจันทร์(ราหูอมจันทร์) และแกะเป็นรูปพญาราหูราหูอมพระอาทิตย์(ราหูอมพระอาทิตย์) พร้อมทั้งจารอักขระเลขยันต์ลงไปด้วย แต่จะไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นราหูอมจันทร์ จะต้องลงด้วย พระคาถาจันทรประภา ถ้าแกะเป็นราหูอมพระอาทิตย์ ต้องลงด้วย พระคาถาสุริยประภา
กะลาตาเดียวที่แกะรูปพญาราหูคู่กัน มักจะเรียกกันว่า ตัวผู้ตัวเมีย ก็คือ องค์หนึ่งจะเป็นราหูอมจันทร์ และอีกองค์หนึ่งจะเป็นราหูอมพระอาทิตย์
และยังเชื่อกันอีกว่ากะลาตาเดียวสามารถใช้ป้องกันคุณไสย ป้องกันภูตผีปีศาจ กันของมีคมและอาวุธต่างๆ ที่จะเข้ามาหาตัวเรา รวมทั้งยังทำลายล้างอาถรรพ์นานาชนิด ที่มีอยู่ในบ้านเรือน เช่น ปลูกบ้านทับที่อาถรรพ์ หรือพื้นที่ที่มีอาคมเข้มขลัง เช่น ป่าช้า หลุมฝังศพ บ่อน้ำ หรือบ้านเรือที่ตั้งอยู่ทางสามแพร่ง ที่ส่งผลร้ายให้แก่ผู้อาศัย กะลาตาเดียวจะสามารถช่วยปัดเป่าให้สิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นกลับกลายเป็นดีได้ ทั้งยังทำให้แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุต่างๆ ที่จะมาถึงตัวเราได้อีกด้วย
บางคนก็นำกะลาตาเดียวมาทำเป็นประคำ สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ติดตัวไว้ เพราะเชื่อกันว่าจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัย สุขภาพกายสุขภาพใจจะดีขึ้น และเชื่อกันอีกว่าบุคคลใดที่บูชากะลาตาเดียวอยู่เป็นประจำ จะทำให้เกิดโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทองไหลมาเทมา
หลวงพ่อน้อย คนฺธโชโต อดีตเจ้าอาวาสวัดศีรษะทอง อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ที่มีวิทยาคมแก่กล้า ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ผู้คนยอมรับในความเข้มขลัง ท่านเป็นเจ้าตำรับพญาราหูอมจันทร์ ที่สร้างจากกะลาตาเดียว ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชานี้มาจากโยมพ่อของท่านชื่อว่า โยมมา ซึ่งเป็นหมอแผนโบราณรักษาโรคต่างๆ ทั่วไป ทั้งยังมีความเชี่ยวชาญในเรื่องเวทย์มนต์คาถาอาคม ด้านอยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดปลอดภัยจนเป็นที่นับถือศรัทธาของชาวบ้านย่านนั้น
วัดศีรษะทอง ตั้งอยู่ที่ ตำบลศีรษะทอง อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้าน ซึ่งเป็นชาวลาวอพยพมาจากเวียงจันทน์ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ราวปี พ.ศ.2358 ขณะขุดดินเพื่อจะทำการสร้างวัด ชาวบ้านได้พบเศียรพระพุทธรูปสีทองเหลืองอร่ามจมอยู่ในดิน จึงได้นำมาตั้งเป็นชื่อวัดว่า วัดหัวทอง นับแต่นั้น และต่อมาได้เปลี่ยนคำว่า หัว มาเป็นศีรษะ ชื่อวัดจึงเรียกกันว่า วัดศีรษะทอง เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดศีรษะทอง(วัดหัวทอง) คือ หลวงพ่อไต เป็นชาวลาวมาจากเวียงจันทน์โดยกำเนิด หลังจากนั้นได้มีการสืบทอดเจ้าอาวาสต่อมาอีกหลายรูป กระทั่งมาถึงยุคของหลวงพ่อน้อย และหลวงพ่อมานิตย์ ตามลำดับ
พราหมณ์วิมล ลักษณะวงษ์ ผู้สืบทอดตำราพญาราหูสายวัดศีรษะทอง ได้ศึกษาเรียนรู้วิชาบูชาพระราหู ที่วัดศีรษะทองจากพระครูสิโรตม์สุวรรณารักษ์(หลวงพ่อมานิตย์ สิตาโร/บุญมีลาภ) อดีตเจ้าอาวาสวัดศีรษะทอง จังหวัดนครปฐม
พราหมณ์วิมลเล่าให้ฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งได้เข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อนิยต์เจ้าอาวาสวัดศีรษะทองในครั้งกระนั้น นั่งคุยกันอยู่สักครู่ ท่านก็เอ่ยปากบอกให้มาช่วยกันสร้างวัด ผมคิดในใจว่าฐานะอย่างเราจะสร้างวัดได้อย่างไร แต่ก็เหมือนว่าท่านจะมีฌานพิเศษ รู้ว่าใจเราคิดอะไรอยู่ ท่านจึงได้เอ่ยปากออกมาว่า ไม่เป็นอย่างที่เองคิด การสร้างวัดไม่ต้องใช้ทุนทรัพย์เสมอไป มีกำลังกายก็ใช้กำลังกายช่วยกันได้ ผมเลยตัดสินใจอยู่ที่วัดศีรษะทองและเรียนรู้วิชาจากหลวงพ่อนิตย์ตั้งแต่นั้นมา เรียกได้ว่าท่านเป็นอาจารย์องค์แรกที่สอนผมในเรื่องการประกอบพิธีบูชาพระราหู
ผมเริ่มประกอบพิธีบูชาพระราหูครั้งแรกที่วัดศีรษะทอง เมื่อปี พ.ศ. 2539 และต่อมาผมได้รู้จักกับอาจารย์อีกท่านหนึ่งก็คือ อาจารย์เฉลียว หงส์ไทย เจ้าพิธีกรรมชื่อดังของจังหวัดสมุทรสาคร ท่านได้เมตตาช่วยสั่งสอนวิชาการตั้งศาลพระภูมิ ศาลพระพรหม พิธีวางศิลาฤกษ์ ท่านอาจารย์เฉลียวนับเป็นอาจารย์ท่านที่สองของผม ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้อย่างหมดเปลือก ไม่ปิดบังและท่านยังเมตตาสอนสั่งผมอยู่เสมอว่า แม้เราจะจำบทสวดต่างๆ ได้ทั้งหมดก็ตาม แต่เวลาประกอบพิธีกรรม จะต้องมีตำราวางอยู่ข้างหน้าเสมอ นั่นคือ ครูของเรา
จากนั้นเป็นต้นมา พราหมณ์วิมลก็ได้รับประกอบพิธีกรรมบวงสรวงเทวดาฟ้าดิน ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ในพิธีพุทธาภิเษก เทวาภิเษก และพิธีกรรมอันเป็นมงคลต่างๆ เรื่อยมา
ปัจจุบันนี้ พราหมณ์วิมล ลักษณะวงษ์ ได้เก็บรวบรวมกะลาตาเดียวและไม่มีตาไว้มากพอสมควร ถ้ามีเวลาว่าง ก็จะนำมาแกะเป็นรูปพญาราหูอมพระจันทร์ อมพระอาทิตย์ เสร็จแล้วก็จะนำไปเข้าพิธีพุทธา-เทวาภิเษก ตามวัดต่างๆ ที่พราหมณ์วิมลได้รับเชิญไปประกอบพิธีกรรมบวงสรวงเทวดาฟ้าดินและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ
ท่านใดที่มีความประสงค์จะมีพญาราหูกะลาตาเดียวไว้สักการบูชา สอบถามรายละเอียดได้ที่ พราหมณ์วิมล ลักษณะวงษ์ โทร.081-869-5800 ได้เลยครับ